วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ทำความรู้จักกับวีรชนในประวัติศาตร์ใน Fate/Zero

Fate/Zero



         Fate/Zero หรือ ปฐมบทสงครามจอกศักดิ์สิทธิ์ ผลงานจากซีรีส์ เฟท/สเตย์ ไนท์ ของ ไทป์-มูน ที่เรื่องราวจะกล่าวถึงสงครามจอกศักดิ์สิทธิ์ครั้งที่ 4 ในรูปแบบนิยาย ถูกเขียนขึ้นโดยอุโรบุจิ เก็น ภาพโดย ทาคาชิ ทาเคอุจิ วางจำหน่ายในงานคอมิเก็ต 70 เมื่อวันที่ 29 -31 ธันวาคม พ.ศ. 2549 โดยผลงานชิ้นนี้เกิดจากการรวมมือของทั้งสองค่ายอย่าง ไทป์-มูน และค่าย ไนโตรพลัส โดยที่ค่ายหลังจะทำหน้าที่ในการควบคุมการผลิตเท่านั้น โดยมีทั้งหมด 4 เล่มจบ ซึ่งเล่มที่ 2 วางจำหน่ายวันที่ 31 มีนาคม 2007 เล่มที่ 3 ในวันที่ 27 กรกฎาคม 2007 และเล่มที่ 4 ในวันที่ 29 ธันวาคม 2007 ต่อมาได้มีการนำไปสร้างในฉบับมังงะ โดยตีพิมพ์ครั้งแรกลงในนิตยสาร ไทป์มูนเอซ โดย ชิซุกิ โมริ และ โทโมยะ ฮารุโนะ ภายใต้สำนักพิมพ์ คาโดคาว่า โชเทน วางจำหน่ายครั้งแรกในวันที่ 21 เมษายน 2008






เรื่องย่อ (ที่สั้นมาก)

          เรื่องราวทั้งหมดจะเกิดขึ้นระหว่างสงครามจอกศักดิ์สิทธิ์ครั้งที่ 4 หรือ 10 ปีก่อนหน้าสงครามจอกศักดิ์สิทธิ์ใน เฟท/สเตย์ ไนท์ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการแย่งชิงจอกศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าจอมเวทผู้ซึ่งอัญเชิญข้ารับใช้ (servant) หรือที่เรียกกันว่าวิญญาณวีรชน เข้ามาต่อสู้กัน





แนะนำเหล่าวีรชน










ARTHURIA PENDRAGON




ข้อมูลทั่วไป




                  เพศ: หญิง
                  ส่วนสูง: 154 ซม.
                  น้ำหนัก: 42 กก.
                  วันเกิด: 29/9
                  สีที่ชอบ: สีฟ้า
                  ความสามารถพิเศษ:ยิมนาสติก, การพนัน
                  ชอบ: อาหารที่อร่อยๆ, ตุ๊กตาสิงโต
                  ไม่ชอบ: อาหารรสชาติแย่, ชุดที่ดูเป็นพิธี, คนแก่
                  ศัตรูคู่อาฆาต: กิลกาเมช
                  สีที่ชอบ: สีฟ้า
                  กรุ๊ปเลือด: B



โนเบิล แฟตาซึ่ม

สายลมซ่อนเร้น : สายลมจักรพรรดิ์คุ้มภัย                        ประเภท: ต่อต้านศัตรู
           เป็นเวทย์ที่เมื่อใช้แล้ว จะเกิดสายลมรุนแรงขึ้นบริเวณรอบๆ ดาบของเซเบอร์ และมีแสงสว่างเกิดขึ้นที่ตัวดาบ เมื่อแสงเหล่านั้นกระทบกับสายลมจึงทำให้เกิดการหักเหแสงทำให้เกิดภาพสลัว ทำให้คู่ต่อสู้ไม่สามารถที่จะล่วงรู้ถึงลักษณะรูปแบบของดาบของเธอได้เลย นอกจากนั้นแล้ว อากาศที่ถูกอัดรวมกันอยู่นั้นยังสามารถที่จะใช้ซัดออกมาเป็นคลื่นเพื่อซัดคู่ต่อสู้ออกไปได้อีกด้วย ถึงแม้ว่ามันจะมีประโยชน์มากในการต่อสู้ แต่ประโยชน์หลักของสายลมซ่อนเร้นนี้คือการปกปิดตัวตนที่แท้จริงของเซเบอร์ นั่นเป็นเพราะโนเบิล แฟตาซึ่มของเธอนั้นเป็นที่มีชื่อเสียงมากและสังเกตได้ง่ายอีกด้วย
เอกซ์คาลิเบอร์ ดาบพันธสัญญาแห่งชัยชนะ                                                                                 ประเภท: ต่อต้านศัตรูเป็นกลุ่ม







Saber | Fate/Stay Night #anime:


              ดาบแห่งสรวงสวรรค์ที่ถูกสร้างขึ้นจากการรวบรวมความหวังทั้งหมดของหมู่มวลมนุษย์ไว้ และใช้มานาเป็นตัวสร้างมันขึ้นมาและใช้เป็นพลังงาน ซึ่งเมื่อถูกนำออกมาจากฝักดาบเมื่อไร ดาบนี้จะเป็นเครื่องขยายพลังเวทย์แบบทวีคูณในธาตุแสง บริเวณนั้นจะเกิดแสงสว่างขึ้นและพุ่งออกมาจากตัวดาบพร้อมกับแรงกดดันอันมหาศาล ซึ่งเมื่อฟาดดาบออกไปเมื่อไร จะเกิดลำแสงพุ่งไปเป็นเส้นตรงพร้อมกับพลังทำลายล้างมหาศาลที่สามารถทำลายศัตรูเป็นจำนวนมากได้ในคราเดียว จนสามารถจัดดาบเล่มนี้อยู่ในกลุ่มอาวุธ ทำลายปราการได้
The designs on this one are awesome.:










           หลังจากสูญเสียคาริเบอร์นไปเซเบอร์ได้รับดาบเล่มนี้มาจากพราย (แฟรี่) แห่งทะเลสาบ ซึ่งเธออนุญาตให้เซเบอร์ใช้ดาบนี้ได้ตลอดอายุขัยของเธอ เป็นหนึ่งในอาวุธวิเศษที่ทรงพลังที่สุด  ที่ไม่อาจพบเจอได้จากผลงานของมนุษย์ทั่วไป ตัวอักษรบนดาบนั้นเป็นภาษาโบราณของเหล่าพรายที่สาบสูญ  ตัวดาบเอ็ซคาริเบอร์นั้นได้รับพรที่แข็งแกร่ง และจะคมกล้าตลอดเวลา แต่โดยปกติแล้วเซเบอร์จะใช้คาถาปกปิดไว้ (อาณาเขตเจ้าวายุ-Invisible Air) เพื่ออำพรางรูปร่างแท้จริงของดาบ ไม่ให้คู่ต่อสู้สังเกตได้โดยง่าย โนเบิล แฟตาซึ่มนี้มาจากชื่อดาบในตำนานของ กษัตริย์อาเธอร์ ที่ได้รับมาจาก วิเวียน

อวาลอน : สรวงสวรรค์อันห่างไกลทั้งปวง                                                                                     ประเภท: สนับสนุน







Avalon:

              ฝักดาบของเอกซ์คาลิเบอร์ ที่สามารถปิดกั้นพลังของดาบศักดิ์สิทธ์ได้ เป็นหนึ่งในสามอาวุธวิเศษ ถูกฝังอยู่ในร่างของชิโร่แต่เล็กโดยคิริงึสุเพราะหวังใช้ความสามารถของฝักดาบรักษาชีวิตไว้
              เดิมอวาลอนได้ถูกขโมยไปจากอาเธอร์เพียงไม่นานก่อนที่จะเกิด การต่อสู้ที่เคมลันน ซึ่งโนเบิล แฟตาซึ่มนี้จะมีความสามารถพื้นฐานทำให้ผู้ที่ครอบครองนั้นไม่พบกับความแก่ชรา หรือได้รับอาการบาดเจ็บจากการต่อสู้แต่อย่างใด ยามใดที่ถูกใช้เป็น โนเบิล แฟตาซึ่ม อวาลอนนั้นสามารถแปรสภาพอยู่ในรูปแบบของมวลสารอนุภาคเล็กในร่างกายของผู้ใช้ มันจะคอยรักษาอาการบาดเจ็บของผู้ใช้ให้บรรเทาได้รวดเร็วกว่าคนทั่วไปยิ่งขึ้น (ถ้ายังไม่ตายซะก่อน)
              ถ้าหากมันอยู่นอกร่างกายของผู้ใช้ มันจะกลายเป็นโล่ที่สามารถป้องกันการโจมตีทุกประเภทได้ ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นอันตรกิริยาของทุกสถานะ ป้องกันการโจมตีทุกอย่างทั้งกายภาพ เวทมนตร์ และจิตใจ โดยไม่ใช่การ สกัดกั้นหรือสะท้อนการโจมตีแต่เป็นการใส่สถานะ “นิ่ง” ให้แรงกระทำทุกอย่าง (ในแอนิเมชันอาจมองได้ว่ามีจุดพลาด 1 อย่างคือ..อวาลอนจะไม่สะท้อนการโจมตีแต่เป็นการหยุดยั้งเฉยๆ) แต่ไม่ว่าจะมองยังไง ฝักดาบอวาลอนคือพลังปกป้องอันเป็นที่สุดของโลกนี้ทีเดียว อวาลอนนั้นได้ถูกกล่าวขานกันเป็นอย่างมาในเรื่องเกี่ยวกับเวทมนตร์ และยังสามารถเรียกได้ว่าเป็น เวทมนตร์ “ที่แท้จริง” อีกด้วย ชื่อของอวาลอนนั้นมาจากเกาะในตำนานตามนิทานพื้นบ้านอังกฤษ หรือที่รู้จักกันว่าเป็นที่พักผ่อนแห่งสุดท้ายของกษัตริย์อาเธอร์นั่นเอง


ตัวตน

                 ชื่อเต็มของเธอนั้นคือ อาธูเรีย เพนดรากอน ซึ่งต้นแบบตัวละครของเธอนั้นมีแรงบันดาลใจมาจากตำนานของ กษัตริย์อาเธอร์ อาธูเรียเป็นลูกสาวของกษัตริย์ ยูเธอร์ เพนดรากอน แห่งอังกฤษ และพระนางอิเกรน ดัชเชสแห่ง คอร์นวอล ด้วยตามการทำนายชะตาของเธอแล้ว ยูเธอร์ได้ตระหนักว่าเธอไม่เหมาะสมที่จะได้รับสิทธิ์ในการครองบัลลังก์ เขาจึงไม่บอกกับใครเกี่ยวกับเรื่องการเกิดของอาธูเรีย และเพศของเธอ พร้อมทั้งมอบเธอให้กับ เมอร์ลิน ให้ไปมอบให้กับ เซอร์เอ็กเตอร์ นักรบผู้ที่ให้การเลี้ยงดูเธอในฐานะของบุตรชายบุญธรรม เมื่ออาธูเรียอายุ 15 ปี กษัตริย์ยูเธอร์ก็ได้สวรรคต และบัลลังก์ก็ได้ไร้ผู้สืบทอด อังกฤษในสมัยนั้นจึงได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของพวก แซกซอน ต่อมาเมอร์ลินก็ได้มาปรากฏตัวต่อหน้าเธอ และได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เธอได้ฟังว่าหากเธอเป็นผู้ที่ดึงดาบคาลิเบิร์นที่ปักอยู่ที่แท่นหินได้ ชาวอังกฤษทุกคนจะยกย่องเธอให้เป็นกษัตริย์องค์ต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม การที่ใครจะดึงดาบเล่มนั้นขึ้นมา ผู้นั้นจักต้องยอมรับในสิ่งต่างๆ ที่หนักหนาสาหัสที่จะถาโถมเข้ามาในฐานะของกษัตริย์ และอาธูเรียจะต้องรับผิดชอบที่จะต้องปกป้องประชาชนเหล่านั้นด้วย เมื่อปราศจากความลังเลและความกังขาในเรื่องเพศของตนแล้ว เธอก็ได้เลือกที่จะดึงดาบเล่มนั้นขึ้นมา และขึ้นเป็นผู้นำแห่งอังกฤษ







3ae3af91674da6d130096e7fdcdd3c81
Arthuria (Saber)

               อาธูเรียได้ปกครองบริเทน ซึ่งปราสาทของเธอนั้นอยู่ที่กรุงคาเมล็อต และได้รับการยกย่องสรรเสริญจากประชาชนของเธอเป็นอย่างมาก เธอได้รับการสั่งสอนจากเมอร์ลิน และได้รับความช่วยเหลือต่างๆ จาก อัศวินโต๊ะกลม ซึ่งเธอก็ได้ทำให้อังกฤษอยู่ในยุคที่เฟื่องฟูและสงบสุข ต่อมาดาบคาลิเบิร์นของเธอก็ได้ถูกทำลายลง แต่เธอก็ได้รับดาบเล่มใหม่ เอกซ์คาลิเบอร์ และอวาลอน ซึ่งได้รับมาจาก วิเวียน ซึ่งอานุภาพของอวาลอนยามที่มันอยู่ในร่างกายของเธอ อาธูเรียจะไม่มีวันแก่ และเป็นอมตะ ในสงครามเลยทีเดียว
               ตลอดรัชสมัยของเธอ อาธูเรียได้พบกับสิ่งเลวร้ายและความรุนแรงมาโดยตลอด จึงทำให้เธอได้ละทิ้งอารมณ์ความรู้สึกของเธอไปเพื่อความสงบสุขของบริเทน กระนั้นการกระทำของเธอหลายๆ อย่างนั้นยังส่งผลให้ความเมตตากรุณาของเธอนั้นลดลงด้วย ฝักดาบของเอกซ์คาลิเบอร์นั้นได้ถูกขโมยไปในระหว่างที่เธอออกไปรบอยู่รอบๆเขตแดนประเทศของเธอ ในขณะที่เธอได้กลับเข้ามาในเมือง เธอได้พบว่าบริเทนนั้นได้ถูกแบ่งแยกโดยสงครามกลางเมือง ถึงแม้ว่าเธอจะพยายามจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร แต่แล้วเธอก็ได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสจากนักรบที่ทรยศเธอ เซอร์มอร์เดร็ด ซึ่งเป็น มนุษย์เทียม ที่เกิดจากเลือดของเธอเอง ในระหว่าง การต่อสู้ที่เคมลันน ร่างที่อ่อนแรงของเธอได้ถูกช่วยเหลือมาไว้ที่เกาะศักดิ์สิทธิ์ โดย มอร์แกน เลอ เฟย์ และ เซอร์เบดิเวียร์ อาธูเรียก็ได้สั่งให้เบดิเวียร์นำดาบเอกซ์คาลิเบอร์ไปคืนแก่วิเวียน ในขณะที่สติของเธอเริ่มที่จะเลื่อนลอยนั้น เธอได้ค้นพบว่าตัวเองนั้นได้เลือกเดินทางผิดมาตลอดชีวิต ที่ยอมรับตัวเองในฐานะของกษัตริย์ ก่อนที่เธอจะสิ้นใจ เธอได้อ้อนวอนต่อโลก ในการที่จะขอเป็นวิญญาณวีรชน เพื่อที่จะได้บรรลุในสิ่งที่เธอต้องการ นั่นคือการกลับไปเปลี่ยนแปลงอดีตของเธอ คือการที่เธอจะไม่ดึงดาบเล่มนั้น เพื่อที่จะให้คนอื่นที่เหมาะสมต่อการเป็นผู้นำของบริเทนมากกว่าเธอได้เข้ามาปกครองบริเทนแทนที่เธอ







(Left to Right) Sir Gawain, Sir Bedivere, Sir Lancelot, Sir Kay





GILGAMESH









5975f2139fe9a2b5a63b88f98135dec5


กิลกาเมซ เป็นผู้ที่ถูกบันทึกไว้ในฐานะของกษัตริย์ผู้เป็นตำนานของชาวสุเมเรียน ผู้มีสายเลือดส่วนหนึ่งจากเทพเจ้า (Demi-god) เขาเป็นลูกชายของ ลูกัลแบนดราราชาอันดับที่ 5 ของอรุค และ นินสัน (หรือ นินซูนา) ผู้เป็นนางฟ้า ซึ่งอยู่ในช่วงประมาณ 2700 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งเก่าเก่ากว่ายุคสมัยแห่งอัลเคเดี่ยนเสียอีก กิลกาเมซมีสายเลือดของเทพที่เข้มข้นมากเมื่อเทียบกับผู้มีสายเลือดเทพทั่วไป และยังเป็นราชาที่มั่งคั่งอย่างยิ่ง ตำนานของเขาถูกพบทั้งในประวัติศาสตร์สุเมเรียน และบันทึกของเมโสโปเตเมียในยุคหลังต่อมา
ตามตำนานกิลกาเมซได้สร้างวีรกรรมและสิ่งปลูกสร้างสำคัญๆ หลายอย่างที่เป็นเหมือนมรดกของโลกโบราณไว้ไม่น้อย อาทิเช่น วิหารนางฟ้านิลลิล และมหากำแพงแห่งนครอุรุค ที่ใช้ปกป้องพลเมืองของตนจากภัยคุกคามของอนาจักรอื่นภายนอก (แต่บางตำนานว่าถูกสร้างโดยจอมปราชญ์ทั้ง 7 แทน) ซึ่งกำแพงนี้ได้ถูกใช้เป็นต่อสู้กับกองทัพของ ซาห์กอนแห่งอาร์คาร์ด จนถูกทำลายในที่สุด แต่โครงสร้างบางส่วนงยังคงหลงเหลือมาจนถึงทุกวันนี้ให้เราเห็นอยู่บ้างเช่นกัน2bb3fff947057d5b2fa66270eb7d445d
               ยุคสมัยของกิลกาเมซ นั้นล่วงเลยมานานมากจนยากจะหาหลักฐานของบันทึกต่างๆ และการพิสูจน์ตัวตนของเขาจริงๆ และช่วงบั้นปลายของชีวิต แต่นักโบราณคดีและประวัติศาสตร์ได้พยายามประติดประต่อข้อมูลต่างๆเข้าด้วยกัน โดยข้อมูลที่ชัดเจนบางชิ้น เช่น คัมภีร์แห่ง Tell Haddad ที่ได้บันทึกว่ากิลกาเมซนั้นได้ถูกฝังอยู่ใต้แม่น้ำแห่งหนึ่ง จนกระทั่งปี 2003 นักวิจัยชาวเยอรมันก็สามารถขุดค้นพบซากนคร อุรุค และซากบัลลังค์ของบนเส้นทางของแม่น้ำยูเฟรติส ซึ่งระบุไว้ว่าที่พักสุดท้ายของราชากิลกาเมซผู้นี้

สุดยอดดาบ Enuma alis 






Lancer (CV: Hikaru Midorikawa)

DIARMUID UA DUIBHNE








tAG_194054.jpg
Diarmuid และ Grainne
Fate Zero - Grainne:
Grainne

              เดร์มุด โอ เดนา บุตรแห่งดอนน์ และบุตรบุญธรรมแห่งแองกัส ออก เป็นนักรบแห่งเฟียนนา เขาเป็นที่รู้จักในชื่อ เดร์มุดผู้มีตราแห่งความรัก เนื่องจากเวทตราแห่งความรักซึ่งเด็กสาวมอบให้แก่เขา หญิงใดก็ตามซึ่งจ้องยังตราของเขาจะตกหลุมรักเขาทันที ซึ่งนำไปสู่การพบกับ Gráinne ภรรยาของฟินน์ แมค คูล เกรเนียตกหลุมรักเดร์มุดในงานฉลองการสมรสของเธอ เธอได้ลงเกอิสให้เขาหนีไปกับเธอ พวกเขาถูกตามล่าอย่างไม่หยุดยั้งโดยฟินน์ แต่หลังจากที่หลั่งเลือดกันมากมาย ฟินน์ก็ตัดสินใจยอมรับการสมรสของพวกเขา มอบตำแหน่งและที่ดินอันคู่ควรแก่เดร์มุด และต้อนรับเขากลับมาในฐานะคนในบังคับบัญชา
               ในภายหลัง ระหว่างล่าสัตว์กับฟินน์ เดร์มุดได้รับบาดเจ็บสาหัสจากคมเขี้ยวของหมู่ป่า แต่ฟินน์ซึ่งมีความสามารถในการเปลี่ยนน้ำจากน้ำพุธรรมชาติให้กลายเป็นการเยียวยาอันยิ่งใหญ่อยู่กับเขาด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่หวั่นเกรงต่อความตาย เพียงฟินน์เดินไม่กี่ก้าวไปยังน้ำพุธรรมชาติซึ่งอยู่ใกล้ๆ แต่ด้วยความริษยาต่อเดร์มุด ฟินน์จึงแกล้งทำน้ำหกไปเสียถึงสองครั้ง ในครั้งที่สามที่เขาเขาเดินไปตักน้ำ เดร์มุดก็ได้เสียชีวิตจากพิษบาดแผลเสียแล้ว



Rider (CV: Akio Ohtsuka)

Alexander/Iskandar








tAG_170826
Rider หรือ Alexander ฉบับ Fate Zero

อิสกันดาร์, อเล็กซานเดอร์, อัล-สิกันดาร์, จ้าวแห่งสงคราม, มหาราวราชา กษัตริย์แห่งผู้พิชิตผู้ซึ่งเกือบจะได้ยึดครองโลก จากการช่วงชิงบัลลังก์ในประเทศเล็กๆ มาซิโดเนีย ในเมืองอันห่างไกลทางตะวันตกของกรีซ  ยุวกษัตริย์ได้พิชิตประเทศข้างเคียงในชั่วพริบตา ความทะเยอทะยานของเขาได้ก้าวผ่านความลำบากนานับประการ และเขาต้องการที่จะยืดคออันยโสของเขาไปสู่มหาจักรวรรดิแห่งเปอร์เซีย
กษัตริย์ผู้นี้ได้พูดถึงเหตุผลของเขา เป้าหมายของเขาคือจุดสิ้นสุดของโลก ปลายทางของเขาคือขอบเขตที่ไกลที่สุดของตะวันออก เขาต้องการจะเห็นโอเชียนัส(เทพแห่งสายน้ำทิศตะวันออก) ด้วยสองตาของเขาเอง เขาต้องการฝากรอยเท้าไว้ที่ชายหาดข้างทะเลอันไร้สิ้นสุดนั้น ไม่มีใครเชื่อเขา แต่ชายผู้นี้ได้นำทหารร่วมเดินทางมุ่งหน้าไปกับเขาทางทิศตะวันออก แม่ทัพผู้พ่ายแพ้ก็เข้าใจในที่สุดว่า… ทรราชผู้นี้ไม่ได้โกหก
แม้จะดูน่าเวทนาและควรคัดค้าน แต่บรรดาทหารก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาฉับพลัน พวกเขาจะเห็นอะไรเบื้องหลังภูเขานั่น? พวกเขาจะเห็นอะไรที่อีกฟากฝั่งของผืนนภา? แล้วพวกเขาก็เดินตามแผ่นหลังของราชามุ่งสู่ทิศตะวันออก กองทัพแห่งราชาเพิ่มพูนขึ้นทุกทุกชัยชนะบนเส้นทางที่แผ่ขยายออกไป สู่ทิศตะวันออก สู่โอเชียนัส ท้องทะเลอันไร้ที่สุด จนกระทั่ง พวกเขาไปถึงหาดอันเป็นตำนานนั้นพร้อมกับราชาของพวกเขา ข้ามทะเลทรายอันเดือดพล่าย ข้ามภูเขาหิมะอันเย็นเยียบ ข้ามแม่น้ำที่ล้นเอ่อ ไล่ตามสัตว์ร้าย ต่อสู้เพื่อชีวิตนับครั้งไม่ถ้วนกับชนเผ่าแปลกประหลาด อาวุธแปลกประหลาด ยุทธวิธีอันแปลกประหลาดที่ไม่เคยเห็นมาก่อน พวกเขามุ่งสู่โอเชียนัส
แม้ว่าพวกเขาจะเสียชีวิตในการต่อสู้หลังจากทุ่มเททุกสิ่ง แต่ใบหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มอันภาคภูมิจนถึงวาระสุดท้าย พวกเขาจะได้กลับสู่ภาพฝันของพวกเขา ชายทะเลที่ปกคลุมด้วยหมอกราตรีซึ่งครั้งหนึ่งพวกเขาได้เห็นและจดจำ ทิวทัศน์ซึ่งพวกเขาครุ่นคิดถึงอยู่ในใจระหว่างการเดินทาง
ร่างกายของพวกเขาอาจกลายเป็นถ่านเถ้า แต่พวกเขาก็ยังคงภักดี เป็นสหายที่แท้ เป็นเพื่อนร่วมงานอันไร้ที่ติต่อราชา ราชาซึ่งมีความปราถนายิ่งใหญ่กว่าใครทั้งหมด สง่างามกว่าใครทั้งหมด อารมณ์ร้อนกว่าใครทั้งหมด บริสุทธิ์และไม่อาจคาดเดา เป็นบุรุษซึ่งเป็นจริงยิ่งกว่าบุรุษใด
ตอนที่เขาตาย ราชอาณาจักรของอเล็กซานเดอร์ได้แตกแยกออกเป็นสี่ส่วนทำสงครามกันและหายไปอย่างรวดเร็วในเม็ดทรายแห่งประวัติศาสตร์ เขาอาจเศร้าโศกเพราะการนั้น เขาอาจหลั่งน้ำตา… แต่จะไม่มีวันเสียใจในสิ่งที่ทำลงไป







ภาพโมเสคของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ค้นพบจากซากเมืองปอมเปอี
ดินแดนภายใต้การยึดครองของอเล็กซานเดอร์

tumblr_nd0aanFXX21riq0zvo3_400.gif


Caster (CV: Satoshi Tsuruoka)

GILLES DE RAIS








9e2843af891782c44d359f6432bb191f
Gilles de Rais

ปี 1404 กิลส์ เดอ เรยส์ เกิดที่ปราสาทชานโตเซ่ใกล้เมืองนันท์ของแคว้นบริทาเนียในฐานะทายาทผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของตระกูล กี เดอ ราวาลผู้เป็นพ่อ เป็นเจ้าบ้านของตระกูลเรยส์ และแมรี่ เดอ คราออนซึ่งเป็นมารดาก็มาจากตระกูลขุนนางที่เก่าแก่ที่สุดตระกูลหนึ่งของฝรั่งเศส ทั้งสองต่างก็มีอาณาเขตในกรรมสิทธิ์ของตนเป็นบริเวณกว้างขวางครอบคลุมพื้นที่มากมาย ซึ่งเมื่อกิลส์สืบทอดมรดก ตระกูลเรยส์ก็จะกลายเป็นผู้มีอิทธิพลมากที่สุดในฝรั่งเศสอย่างไม่ต้องสงสัย
ปี 1415 กีเสียชีวิตไปอย่างกะทันหัน และแมรี่ก็ตายตามสามีไปในเวลาไม่นานนัก ตาเป็นผู้รับกิลส์ไปเลี้ยงดูแม้ว่าจะเป็นการขัดต่อพินัยกรรม ฌอง เดอ คราออนซึ่งเป็นตานี้ ใช่ว่าจะเป็นคนไม่ดี เพียงแต่ว่ามีรสนิยมรักร่วมเพศเท่านั้นเอง และคงเพราะอิทธิพลจากตา กิลส์ก็เลยมีรสนิยมเดียวกันนี้ด้วย เมื่ออายุได้ 16 ปี เขาก็ถูกคลุมถุงชนให้แต่งงานกับแคทเธอรีน เดอ ทวาลซึ่งเป็นบุตรสาวของผู้ครองแคว้นข้างเคียงเนื่องจากตาของเขาต้องการขยายพื้นที่ในครอบครองออกไปอีก กิลส์ไม่ได้สนใจเจ้าสาวของเขานัก เวลาส่วนใหญ่มักจะหมดไปกับการสนุกสนานกับบรรดาเด็กหนุ่มที่เป็นคนสนิทของเขามากกว่า







Joan of Arc - Fate/Apocrypha:
Joan of Arc

หากในไม่ช้า การได้พบกับเด็กสาวผู้หนึ่งก็เปลี่ยนชีวิตของกิลส์ไปโดยสิ้นเชิง แจนน์ ดาร์ค (โจน ออฟ อาร์ค) วีรสตรีซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดของฝรั่งเศสนั่นเอง
ปี 1429 พระเจ้าชาร์ลสที่ 7 ทรงโปรดให้กิลส์เข้าเฝ้าและแนะนำให้เขาได้รู้จักกับแจนน์ ดาร์คซึ่งภายหลังถูกขนานนามว่าเป็นหญิงศักดิ์สิทธิ์แห่งออร์ลีนส์ กิลส์ประทับใจในในตัวแจนน์และประกอบกับว่าเขาเป็นผู้มีศรัทธาแรงกล้าอยู่แล้ว เขาจึงได้สาบานตนเป็นอัศวินของแจนน์ และกลายมาเป็นมือขวาของเธอนับแต่นั้น
ทั้งสองสร้างผลงานไว้มากมายในสงครามร้อยปี ซึ่งทำให้กิลส์ได้รับพระราชทานตำแหน่งเป็นแม่ทัพและได้รับพระบรมราชานุญาติให้ประดับตราดอกลิลลี่ (ตราประจำราชวงศ์ฝรั่งเศส) ลงบนตราประจำตระกูลของเขาด้วย นับเป็นเกียตริสูงสุดเท่าที่เขาจะมีได้ในฐานะขุนนางทีเดียว แต่แล้วในปี 1430 แจนน์ ดาร์คก็ถูกทหารฝ่ายศัตรุจับ และถูกเผาทั้งเป็นในฐานะแม่มดเมื่อปี 1431 (ปี 1456 พระสันตปาปาจึงยกให้คำตัดสินลงโทษแจนน์ ดาร์คเป็นโมฆะเธอถูกยกขึ้นเป็นนักบุญในปี 1920…. เกือบ 500 ปีหลังจากการสำเร็จโทษที่รูน) กิลส์โศกเศร้ากับเหตุการณ์นี้มากและหวนกลับไปสู่ชีวิตแหลกเหลวก่อนจะพบกับเธออีกครั้ง
กิลส์โกรธแค้นพระเจ้าที่หักหลังแจนน์และแย่งเธอไปจากเขา เขาเริ่มฝักใฝ่ในมนต์ดำและการเล่นแร่แปรธาตุ ในไม่ช้า กิลส์ก็ทำการรวบรวมเด็กชายจากที่ต่างๆมาเพื่อเป็นเครื่องสังเวยให้กับปีศาจ
เนื่องจากในเวลานั้นยังมีสงครามกันอย่างต่อเนื่อง ตามเมืองต่างๆจึงมีเด็กกำพร้าเร่ร่อนอยู่มากมาย หญิงชราและชายฉกรรจ์ซึ่งเป็นลูกน้องของกิลส์พาเด็กเหล่านี้มายังปราสาท และตัดคอพวกเขาเพื่อสังเวยเลือดแก่พิธี ไม่นานนัก การสังเวยก็ค่อยเพิ่มความโหดร้ายทารุณขึ้น เด็กบางคนถูกตัดแขนตัดขาเป็นชิ้นๆ บางคนถูกฟาดหัวด้วยท่อนไม้ตอกตะปู บางคนถูกเฉือนเนื้อออกทีละน้อยเพื่อให้กรีดร้องอยู่ให้นานที่สุดก่อนจะหมดลมไป
เด็กบางคนถูกผ่าท้องแล้วทึ้งไส้ออกมา บ่อยครั้งที่กิลส์ข่มขืนศพของเด็กที่เสียชีวิตแล้ว เขาสะสมศีรษะของเด็กหนุ่มจำนวนมาก และศีรษะที่หน้าตาดีจะถูกเรียงไว้เหนือเตาผิงเหมือนเป็นคอลเลคชั่นพิเศษ มีการพบศพของเด็กจำนวนกว่า 150 ศพ (ส่วนใหญ่ไม่มีศีรษะ) ในปราสาท แต่พูดกันว่าเหยื่อของเขาน่าจะมีมากกว่า 1500 ราย
งานเลี้ยงอันหรูหราและมนต์ดำทำให้กิลส์ผลาญทรัพย์สมบัติอันมหาศาลของเขาหมดไปในไม่ช้า กิลส์จึงต้องขายปราสาทในกรรมสิทธิ์ของตนไป และการขายปราสาทนี่เองที่ทำให้เขามีปัญหากับโบสถ์ ทำให้กิลส์ซึ่งเลือดขึ้นหน้าได้นำทหารบุกไปยังโบสถ์และจับกุมนักบวชหลายคนมาจองจำในปราสาทของตน
ทางด้านฝ่ายโบสถ์ซึ่งสงสัยกิลส์เกี่ยวกับคดีเด็กหายสาปสูญอยู่แล้ว(แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะนอกจากกิลส์จะเป็นขุนนางแล้ว ยังเป็น”วีรบุรุษกู้ชาติ”อีกด้วย)จึงได้อาศัยโอกาสนี้เองนำคนเข้าตรวจปราสาทของกิลส์และจับกุมเขาไว้ได้ในที่สุด
13 กันยายน 1440 พระสังฆราชซึ่งได้รับพระบรมราชานุญาติจากพระเจ้าชาร์ลสฟ้องกิลส์ในข้อหาประกอบพฤติกรรมนอกรีต สังหารเด็ก ทำสัญญาปีศาจ และกระทำตนขัดต่อหลักธรรมชาติ ซึ่งไม่ว่าข้อหาใดต่างก็เพียงพอที่จะทำให้เขาโดนประหารทั้งสิ้น (มีการกล่าวว่า พระเจ้าชาร์ลสและโบสถ์ได้ร่วมมือกัน เนื่องจากพระเจ้าชาร์ลสต้องการดินแดนในครอบครองของตระกูลเรยส์) การพิพากษาถูกจัดขึ้นที่ปราสาทนันท์และกินเวลากว่า 1 เดือน กิลส์ซึ่งในครั้งแรกมีท่าทีแข็งขืนถึงกับหลั่งน้ำตาสำนึกผิดในภายหลัง เขาถูกตัดสินให้ประหารโดยการแขวนคอในวันที่ 26 ตุลาคม 1440 และศพถูกลงโทษเผา กล่าวกันว่ามีประชาชนมากมายพากันร้องไห้และอธิษฐานให้วิญญาณของวีรบุรุษกู้ชาติผู้นี้ได้รับการอภัย
(ในครั้งแรก จะมีการตัดสินโทษเผาทั้งเป็น แต่เนื่องจากการเผาทั้งเป็นถือเป็นการลบหลู่เกียรติมากในสมัยนั้น และด้วยว่ากิลส์มีความชอบ เขาจึงรอดโทษเผาทั้งเป็นไป)







Gilles De Rais กำลังถูกนำตัวไปแขวนคอ

tumblr_nd0aanFXX21riq0zvo5_400


Assassin (CV: Sachie Abe)

HASSAN-I SABBAH








Fate/Zero - Assassin Fate/Grand Order - Assassin True Assassin's identity is Hassan of the Cursed Arm, one of the nineteen Hassan-i-Sabbah, the Persian "Old Man of the Mountain" who led an assassination organization originating in the Middle East.:
Hassan-i Sabbah จาก Fate Zero

               กลุ่ม Assassin ถูกตั้งขึ้นครั้งแรกโดยหัวหน้ากิลด์คนแรกนามว่า “Hassan-i Sabbah” ซึ่งแต่ก่อนที่ Hassan-i Sabbah จะมาเป็นหัวหน้ากิลด์นักลอบสังหาร เค้าเคยเป็นหมอศาสนาในนิกาย Nizari Ismalis (หรือนิกาย ชีอะห์ กลุ่มอิสมาอิล ที่เรามักได้ยินบ่อยๆในทีวี) ซึ่งเป็นนิกายหนึ่งในศาสนาอิสลาม
               Hassan-i Sabbah ในวัยเด็กได้ศึกษาและมีความเชี่ยวชาญในวิชาที่เรียน ไม่ว่าจะเป็น การดูโชคชะตาทางลายมือ, ภาษา, หลักปรัชญา, ดาราศาสตร์ ,เคมี การผสมยา, สถาปัตยกรรม และ คณิตศาสตร์ (แต่วิชาที่เค้าเมพสุดคือวิชาภูมิศาสตร์) ในช่วงชีวิตของเค้า ได้เดินทางไปทั่วตะวันออกกลางในฐานะหมอศาสนา จนกระทั่งช่วงหนึ่ง ชาวมุสลิมนิกายชีอะห์กลุ่มอิสมาอิลได้ประกาศแบ่งแยกเป็นอิสระจากการปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ที่สนับสนุนนิกายซุนนีมากกว่านิกายชีอะห์ ทาง Hassan-i Sabbah เองก็เห็นว่าทางกลุ่มอิสมาอิลควรเพิ่มความแข็งแกร่งและขยายดินแดนออกไป จึงนำเรื่องนี้ไปบอกแก่ผู้นำกลุ่มอิสมาอิล แต่ทว่าผู้นำกลุ่มกลับไม่เห็นด้วยกับความคิดของ Hassan-i Sabbah







Assassin

หลังจากได้ที่หมั้นแล้ว ก็เริ่มมีคนเข้ามาร่วมกลุ่มของ Hassan-i Sabbah เยอะมากขึ้นจนมีผู้ติดตามร่วมกว่า 12 ล้านคน จากนั้น เค้าก็ได้ตั้งกลุ่มนักฆ่าขึ้นมาสำหรับทำภารกิจลับ ซึ่งแต่ละภารกิจ ส่วนมากมักจะมีผลประโยชน์ทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ และวิธีการของเหล่านักฆ่านั้น ก็ไม่เลือกวิธีการ ไม่ว่าจะเป็น การวางยาพิษ, การลอบฆ่า และอื่นๆอีกที่คิดว่าสามารถทำให้พวกเค้าทำงานได้สำเร็จ โดยไม่คำนึงถึงชีวิตของตัวเอง ไม่นานนัก กลุ่มนักฆ่าของ Hassan-i Sabbah ก็กลายเป็นนักรบศาสนาที่ทำหน้าที่กำจัดศัตรูที่เข้ามารุกรานในดินแดน รวมไปถึงการทำภารกิจลับลอบสังหารด้วย และได้ขยายอาณาเขตไปจนถึงประเทศซีเรียและอิหร่าน แต่พอเอาเข้าจริงๆ ถ้าในสมัยนั้น พวกชาวเปอร์เซียหรือพวกทหารครูเสดได้ยินชื่อพวกนักฆ่าเหล่านี้ ก็จะรู้สึกเกลียดชัง ขยะแขยง และดูหมิ่นมาก เหตุเป็นเพราะการสู้ของนักฆ่าในกลุ่ม Hassan-i Sabbah นั้น ไม่มีเกียรติ ไร้ศักดิ์ศรี ลอบทำร้าย เค้าก็เลยเรียกประณามพวกนักฆ่าเหล่านี้ว่า “Ḥashshāshīn” ซึ่งหมายถึง ไอ้พวกติดตามของ Hassan ส่วนพวกทหารครูเสดได้ยินก็ฟังเพี้ยนจนกลายมาเป็น Hassassin และกลายมาเป็นคำว่า Assassin ในปัจจุบัน







Fate/Zero - Assassin:
กลุ่มนักฆ่า “Assassin”

tumblr_nd0aanFXX21riq0zvo6_400

Berserker (CV: Ryotaro Okiayu)

LANCELOT DU LAC




    ลานซล๊อตเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ King Ban of Benwick และพระราชินี Elaine ครับ ลานซล๊อตได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอัศวินโต๊ะกลมคนแรก นอกจากจะมีรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาแล้ว ลานซล๊อตยังเป็นผู้ที่มีความเป็นสุภาพบุรุษ อัธยาศัยดี มารยาทงามและกล้าหาญด้วย  กล่าวกันว่าลานซล๊อตเป็นอัศวินที่พร้อมจะเสียสละตัวเองเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากเสมอๆ
มีผู้กล่าวว่าลานซล๊อตเป็นสุดยอดนักสู้และนักดาบที่เก่งกาจที่สุดในบรรดาอัศวินโต๊ะกลมครับ เรามาดูสาเหตุแห่งความเก่งของเขาดู ตามตำนานกล่าวว่าลานซล๊อตในวัยเยาว์ได้หายตัวไปในทะเลสาบและได้รับการเลี้ยงดูโดย Vivien เทพธิดาแห่งทะเลสาบ ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าเด็กปั้นของนางนั้นเก่งๆ กันทุกคนเลย นางได้ถ่ายทอดวรยุทธ์ต่างๆ จนลานซล๊อตมีฝีมือในการฟันดาบ การใช้ทวน และการขี่ม้าอย่างที่ปรากฎในหน้าประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ลานซล๊อตยังเป็นพ่อของ Galahad และมีภรรยาชื่อ Elaine of Astolat  ซึ่งนางคนนี้รักลานซล๊อตมาก ถึงกับขนาดตรอมใจตาย เนื่องจากลานซล๊อตไปรับใช้กษัตริย์อาเธอร์ (และพระราชินีเกอวนิเวียร์) นานเกินไป โดยไม่ยอมเหลียวแลความรักของนางเลย
               หลายๆ ตำนานได้กล่าวถึงความรักต้องห้ามระหว่างลานซล๊อตกับราชินีเกอวนิเวียร์ ซึ่งก็ได้รับการพิสูจน์ว่าน่าจะมีเค้าโครงความจริงอยู่บ้าง เนื่องจากลานซล๊อตเป็นที่โปรดปรานของเกอวนิเวียร์และกษัตริย์อาเธอร์มาก จนกษัตริย์อาเธอร์ไว้วางพระทัยในตัวลานซล๊อต ถึงกับแต่งตั้งให้เป็นราชองครักษ์คอยอารักษ์ขาองค์ราชินีระหว่างที่อาเธอร์ไม่อยู่ในคาเมลอท ด้วยความว้าเหว่ของเกอวนิเวียร์ ทั้งเกอวนิเวียร์และลานซล๊อตจึงลงเอยในที่สุด ทันทีที่พระเจ้าอาเธอร์ทราบข่าว พระองค์ตัดสินประหารชีวิตเกอวนิเวียร์ทันที ระหว่างที่นางถูกมัดอยู่กับเสาหลักประหารกลางเมืองนั้น ลานซล๊อตก็ไม่ได้นิ่งดูดายครับ ทำตัวเป็นอัศววินม้าขาวรีบเข้าไปช่วยทันที จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ 1 ในอัศวินโต๊ะกลมต้องเสียชีวิตไป 1 หน่วย อัศวินผู้โชคร้ายคนนั้นก็คือ เซอร์กาเร็ตหลานของเซอร์กาเวนนั่นเอง และจุดนี้เองที่เป็นชนวนให้ความสัมพันธ์ของอัศวินโต๊ะกลมต้องขาดสะบั้นลง เซอร์กาเวนประกาศว่าหากไม่ได้หัวของลานซล๊อต ตนจะไม่มีวันตายตาหลับแน่นอน ซึ่งแม้ว่าลานซล๊อตจะขอโทษเช่นไรแต่เซอร์กาเวนก็ไม่ยอมท่าเดียว ทั้งลานซล๊อตและเกอวนิเวียร์จึงหนีไปเริ่มชีวิตใหม่ในปราสาทที่เงียบสงบริมทะเลสาบ จนกระทั่งสงครามครั้งสุดท้ายของอาเธอร์มาถึง ลานซล๊อตได้ส่งสารไปกำชับอาเธอร์เอาไว้ว่า ภายในเจ็ดวันห้ามทำการรบเด็ดขาดมิเช่นนั้นมัจจุราชจะมาเยือนอัศวินโต๊ะกลมทุกคนรวมทั้งอาเธอร์ด้วย ระหว่างนี้ลานซล๊อตจะไปหากำลังเสริมมาเพื่อช่วยเหลืออาเธอร์ ตามตำนานก็ไม่ได้ว่าลานซล๊อตเป็นคนเลวอะไรนัก เพราะลานซล๊อตเสียใจในสิ่งที่ตนเองทำไปโดยตลอดและเขาพร้อมจะทำทุกๆ อย่างให้ความสัมพันธ์ที่ดีกลับคืนมาเหมือนเดิม แต่แล้วก็เหมือนกับสวรรค์กลั่นแกล้ง เมื่ออาเธอร์ได้รับสารของลานซล๊อต อาเธอร์ก็เชื่อ พระองค์จึงรีบส่งสารไปขอระงับศึกกับเซอร์มอเดร็ดเป็นเวลาเจ็ดวัน ใจความในสัญญาระงับศึกก็คือหากฝ่ายใดเริ่มโจมตีก่อนถือเป็นอันเริ่มสงคราม แต่พอเข้าวันที่ 6 ทหารของพระเจ้าอาเธอร์เห็นแมงป่องเข้าครับจึงเงื้อดาบจะฟัน ซึ่งคมดาบได้สะท้อนกับแสงแดดเป็นเหตุให้ทหารของมอเดร็ดเข้าใจว่าสงครามเริ่มแล้วครับ สงครามเลยเริ่มขึ้นด้วยประการฉะนี้ ผลคือทั้งมอเดร็ดและกษัตริย์อาเธอร์ก็กลับบ้านเก่าทั้งคู่
                 หลังจากสิ้นศึกที่คามลามและการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์อาเธอร์แล้ว ในเช้าวันที่เจ็ดกองทัพของลานซล๊อตก็มาถึง แต่ทุกอย่างสายเกินแก้ มันยากสำหรับลานซล๊อตที่จะทำใจรับได้ เขาเสียทั้งเจ้านายที่ต้องปกป้อง เสียผองเพื่อนอัศวินโต๊ะกลมที่เคยร่วมทุกข์สุขกันมาให้กับสงครามครั้งนี้ เมื่อทราบข่าวนี้พระนางเกอวนิเวียร์ก็สำนึกตนได้ จึงหนีไปบวชเป็นแม่ชีปลีกวิเวกและสุดท้ายก็ตายอย่างสงบ ส่วนลานซล๊อตซึ่งสูญสิ้นทุกๆ อย่างเนื่องจากความผิดที่ยากจะให้อภัยของเขา เพื่อเป็นการชดใช้เขาจึงเก็บตัวไม่ออกมาสู่โลกภายนอกอีกเพื่อเป็นการไถ่โทษให้กับทุกๆ สิ่งที่เขาได้ทำลงไปและมีชีวิตอยู่อย่างคนตรอมใจจนวาระสุดท้ายของชีวิต







ในที่สุดก็จบสักที กับประวัติเซอร์แวน อันยาวๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ของเซอร์แวนแต่ละคน ขอบคุณรูปภาพสวยๆ จาก Pinterest (ใครยังไม่เล่น ก็เล่นเถอะ รูปสวยๆเยอะมากๆๆๆๆๆ) รวมถึง Tumblr และ Google


tumblr_mwgo6fhBrz1rpvrvlo1_400
ขอจบด้วยเพลง Brave Shine





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ทำความรู้จักกับวีรชนในประวัติศาตร์ใน Fate/Zero

Fate/Zero          Fate/Zero หรือ ปฐมบทสงครามจอกศักดิ์สิทธิ์  ผลงานจากซีรีส์ เฟท/สเตย์ ไนท์ ของ ไทป์-มูน ที่เรื่องราวจะกล่าวถึงสงครามจ...